เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราสร้างบุญกุศลถ้าเราสร้างบุญกุศลเพราะเรามีความเชื่อมั่นเราเชื่อมั่นในศาสนานะ ในศาสนาในธรรมวินัยนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ฆ่ากิเลสเป็นพระอรหันต์ จึงวางธรรมวินัยไว้ ถ้าธรรมและวินัยเป็นการกำจัดเป็นการควบคุมตัวเองธรรมและวินัยถ้าใครปฏิบัติแล้วมันเป็นการควบคุมตัวเอง 

แต่ถ้าเป็นกฎหมายบ้านเมืองมันเป็นการเอาเปรียบกันบ้างบางฝ่ายได้เปรียบบางฝ่ายเสียเปรียบ เราจะเห็นการได้เปรียบเสียเปรียบจากภายนอก แล้วจะยอมรับสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นเป็นคนบัญญัติขึ้นมาคนบัญญัติขึ้นมาเป็นแต่ว่าคนมาก เป็นประชาชน เป็นประชาธิปไตยประชาธิปไตยเห็นไหม 

แต่ถ้าธรรมวินัยเป็นธรรมประชาธิปไตยกับธรรมาธิปไตยถ้าเป็นธรรมาธิปไตยผู้ที่เป็นธรรมบัญญัติสิ่งที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมจะเป็นประโยชน์มากเป็นประโยชน์นะ เรามองกันว่าประโยชน์สังคมจะเป็นประโยชน์มากที่สุด แต่ถ้าประโยชน์สังคมมันจะเกิดขึ้นมามันเกิดขึ้นมาจากบุคคลในสังคมนั้น ถ้าบุคคลในสังคมนั้น บุคคลส่วนที่ ๑ ก็ดี ๒ ก็ดี๓ ก็ดี สังคมนั้นจะดีโดยธรรมชาติ

ถ้าสังคมนั้นมีคนเอาเปรียบกันประชาธิปไตยเป็นสภาวะแบบนั้น ผู้ที่ร่างกฎหมายคือว่าใครร่างกฎหมายก็ร่างเพื่อตัวเองเพราะทุกคนมีกิเลส สิ่งที่ทุกคนมีกิเลสกติกาสร้างมามันถึงลำเอียงสิ่งที่กติกาลำเอียงเพราะการที่สร้างมาเขาเห็นแต่ผลประโยชน์ คนคิดแต่ผลประโยชน์ ผลประโยชน์จากภายนอก 

แต่ธรรมาธิปไตยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เห็นประโยชน์จากภายใน สิ่งที่เป็นประโยชน์จากภายในประโยชน์อันนี้มันจะเข้ามาชำระ มันจะเข้ามาให้ความสุขกับตัวเองความสุข โลกนี้เป็นนะ คลื่นในทะเล เราลงไปอยู่ในทะเล เราต้องประคองตัวเราในทะเลเป็นสภาวะแบบว่าเราต้องประคองตัวเองตลอด ถ้าเราปล่อยตัวเองเราก็จมน้ำตาย ในวัฏฏะสงสารนี้เป็นอย่างนั้น 

ในสังคมนี้ มนุษย์ ในธรรมบอกว่ามนุษย์คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง ไว้ใจไม่ได้เลย สิ่งที่เป็นมนุษย์นี่ ความคิดของเขาคิดอย่างหนึ่งแต่เขาพูดไปอีกอย่างหนึ่ง แล้วการปฏิบัติเขาก็ปฏิบัติไปอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่บริสุทธิ์กับตัวเอง ธรรมและวินัยจะมาจำกัดตรงนี้ ธรรมและวินัย ถ้าผู้ที่ถือศีลอันละเอียด ศีล ๕เป็นศีลของคฤหัสถ์ ศีลของเณรศีล ๑๐ ศีลของพระศีล๒๒๗ แต่ในธรรมวินัย ศีลมี๒๑,๐๐๐ ข้อเพราะ ๘๔,๐๐๐ธรรมขันธ์นี้เป็นธรรมและวินัย

สิ่งที่เป็นธรรมและวินัยอธิศีล ความคิดชั่วในหัวใจมันเป็นมโนกรรมสิ่งที่เป็นมโนกรรมจะไม่มีความคิดอย่างนั้นเลย สิ่งที่ไม่มีความคิดอย่างนั้น มันเกิดจากธรรมวินัยเข้าไปจำกัดสิ่งนี้เข้าไปจัดความคิดของเรา เราคิดของเราเราคิดอย่างไรก็ได้สังคมเป็นแบบนั้น ถ้าเราหวังสังคม เราจะแก้สังคม เราจะเป็นการแบกโลก มีแต่ความทุกข์มาก แล้วเราจะมีความฟุ้งซ่านในหัวใจ หัวใจจะต้องไปแบกเขาแล้วจะต้องไปทุกข์ร้อนในหัวใจของเราสังคมเป็นสภาวะแบบนั้น 

ให้กลับมาดูใจของตัวเองก่อน ถ้าใจตัวเองก่อน เห็นไหม หนึ่งหน่วยในสังคมนั้นดีมันมีความหวังขึ้นมาแล้ว ถ้าหนึ่งหน่วยในสังคมนั้นไว้ใจกันไม่ได้เลย จะไม่มีใครเป็นผู้นำใครเลย จะวางใจกันไม่ได้เลย สังคมนั้นร้อนมากแล้วเราก็อยู่ในสังคมนั้น ถึงสังคมนั้นเป็นสภาวะแบบนั้นนี่ประชาธิปไตยเป็นได้ เป็นว่าเป็นความเสมอภาคกัน เป็นความไม่เอาเปรียบกันเผด็จการถ้าเขาเอาเปรียบกันเขาจะตีความถึงต้องเป็นประชาธิปไตยเราถึงว่าเสียงต้องเสมอกันๆเสียงหนึ่งเป็นการลงประชามติ อันนั้นเป็นความเห็น เป็นความคิดแบบโลกไง 

แต่ถ้าพูดถึงผู้มีธรรมเวลาเขาทำสิ่งต่างๆ แล้วต้องผ่านการอนุมัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ผู้ที่อยู่ข้างบนเขาจะมีประสบการณ์ของเขาประสบการณ์จากภายในความคิดของเราสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลกเป็นประโยชน์กับโลกมาก แต่ถ้าพูดถึงถ้าเราไปติดกับมัน สิ่งนี้มันจะทำให้เราติดข้องไป แล้วคิดสิ มันก็เป็นการไว้ใจกันไม่ได้ มันเป็นความทุกข์มันเป็นความเร่าร้อนในหัวใจ แล้วเมื่อไหร่มันเปลี่ยนแปลงกาลเวลากลืนกินทุกอย่างนะคนเรานี่เวลามันผ่านไปมันกลืนกินความรู้สึกของเรากลืนกินไปหมด 

คนเราถ้าความเห็นย้อนกลับมามันจะรักษาของมันไว้ ดูสิ เราทำสัมมาสมาธิให้ความสงบของใจมันก็โดนกลืนกินเหมือนกันเพราะมันไม่คงตัวของมันไปมันต้องเสื่อมสภาพของมันไป สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมดสิ่งที่เป็นอนิจจังทั้งหมด เวลาเราคิดถึงธรรมเรามีความศรัทธามีความเชื่อ เราจะเกิดร่วมพระพุทธเจ้าอยากเห็นพระพุทธเจ้าอยากให้พระพุทธเจ้าชี้นำเรา อยากจะให้เราพ้นทุกข์ ความคิดนี้มันคิดด้วยสิ่งนี้ว่าเป็นบุญกุศลไหม เป็นความดีไหม แต่มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของกิเลส

การเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างเป็นสหชาติ ผู้ที่สร้างสหชาติขึ้นมานี่สร้างบุญสร้างกรรมร่วมกัน มันถึงจะไปประสบกัน แต่เราสร้างบุญกุศลขึ้นมาเป็นสาวกะสาวกผู้ได้ยินได้ฟัง๕,๐๐๐ ปี มันยังมีศาสนาอยู่ นี่คำสอนอันนี้มันจะเป็นศาสนาอยู่ เราเกิดมาเรามองออกไปทางโลกสิ โลกนี่บางซีกโลกจะมีความเดือดร้อนมาก จะมีความเบียดเบียนกันมาก จะมีความด้อยพัฒนามากสิ่งที่ด้อยพัฒนาเพราะเหตุใดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เกิดในประเทศอันสมควรประเทศอันสมควรเกิดในสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ สิ่งนี้พึ่งพาอาศัยจากภายนอกแล้วเกิดในประเทศอันสมควรพบพระพุทธศาสนาด้วย

ในธรรมบท เวลาเทวดาเขาจะตาย แสงเขาจะเศร้าหมองลงเวลาเขาอนุโมทนากันนะ ตายจากเทวดาขอให้เกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์แล้วให้พบพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาทำบุญกุศลรัตนตรัย ธรรมธรรม ธรรมคือสภาวะความเป็นจริงของวัฏฏะ สภาวะตามความเป็นจริงของวัฏฏะเราศึกษาสภาวะตามเป็นจริงของวัฏฏะเห็นไหม โลกคิดอย่างนั้น ถ้าเราคิดแบบวิทยาศาสตร์เราต้องศึกษาวัฏฏะให้เข้าใจ 

แต่ถ้าเป็นธรรมนะการศึกษาวัฏฏะคือต้องศึกษาต้นขั้วของวัฏฏะต้นขั้วของวัฏฏะคือหัวใจผู้ที่ไปเสวยทุกภพทุกชาติ สิ่งที่วัฏฏะนี้มันเป็นมิติเป็นสภาวะกามภพ อรูปภพ อยู่อย่างนั้นแต่ตัวหัวใจตัวเสวย เวลาเข้าถึงตัวหัวใจจำกัดถึงตัวหัวใจหมดแล้วเวลาพระอรหันต์สิ้นไปจากกิเลส หัวใจเวิ้งว้างกว้างครอบคลุมสามโลกธาตุกามภพ รูปภพอรูปภพครอบคลุมสิ่งนี้ได้หมดเลย มันจะเข้าใจสิ่งนี้หมด มันถึงกว้างขวางมากถึงไม่มีพื้นที่อะไรจะเข้าไปขัดขวางสิ่งนั้นได้เลย มันจะครอบคลุมไปหมด 

จำกัดจุดๆ เดียว จุดคือความรู้สึกต้นขั้วของความรู้สึกคือกลางหัวใจของเราสิ่งที่กลางหัวใจของเราตัวนี้ ตัวอวิชชานี่ ตัวไม่เข้าใจนี่ แล้วมันจะหมุนเวียนไปตามวัฏฏะนั้น ถ้าเราศึกษาจากภายนอก ความคิดของโลกไปตามกระแส เราอยากรู้วัฏฏะเราต้องว่าพรหมเป็นอย่างไร เทวดาเป็นอย่างไรนรกสวรรค์เป็นอย่างไร เราต้องคิดสภาวะแบบนั้นแล้วต้องเข้าใจทั้งหมด แล้วปล่อยวางความจริงเข้ามา สิ่งนี้มันเป็นสถานะเป็นวาระที่จิตมันไปเสวย 

สร้างบุญกุศลมันจะไปเสวยสิ่งนั้นสร้างบาปอกุศลมันจะเสวยสิ่งหนึ่ง สิ่งที่เป็นกุศลมันเป็นความเบากับความหนักในหัวใจ มันเผารนใจตลอดเวลาแล้วธรรมะแก้เข้ามาตรงนี้ แก้ตรงนี้ มันถึงเป็นปัจจัตตังมันถึงเป็นธรรมะของส่วนบุคคล บุคคลใดทำสิ่งนี้ได้หนึ่งในสังคมนั้น ถ้าหนึ่งในสังคมนั้นทำสิ่งนี้ได้ หนึ่งในสังคมนั้น 

ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยพุทธกาลสิเวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เขาจะทำอะไรกันในกษัตริย์สมัยพุทธกาลเขาศรัทธามาก จะต้องถามๆตลอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะพระอานนท์บอกไว้ว่าดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลก เห็นไหม เรื่องโลกนี่รถเราไม่มีไฟเราขับไปในความมืดเราจะเสี่ยงภัยขนาดไหนถ้ารถเราไม่มีไฟ แต่ถ้ารถเรามีไฟ เราขับไปบนถนนนะ จะมืดขนาดไหนไฟเราจะส่องสว่างไปเราจะเห็นต่างๆสภาวะไปตลอดเลย นี่ดวงตาของโลก สิ่งที่ดวงตาของโลกกษัตริย์เขาจะทำอะไรกันเขาต้องไปถามเพราะเขาตาบอด เขาต้องอาศัยตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีผู้ที่ทำหัวใจเป็นผู้ที่ว่าสว่างในใจของตัวเองมันมีแสงสว่างในใจตัวนั้น มันเป็นดวงตาไงชี้นำโลกไง สิ่งที่ชี้นำโลกเป็นที่พึ่งที่อาศัยแล้วเราเกิดมานี่ เราเกิดมาไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเกิดมาพบธรรมและวินัย ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเราเป็นผู้ชี้นำของเรา ถ้าเรายึดตัวนั้นได้ เรายึดพระไตรปิฎกเรื่องธรรมเรื่องวินัยแล้วย้อนกลับมา 

เรื่องกฎหมายเรื่องสิ่งต่างๆ ของโลก ประเพณีวัฒนธรรมแล้วแต่พื้นถิ่น ถิ่นหนึ่งก็ทำไปอย่างหนึ่งๆแล้วแต่สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมทำให้เกิดประเพณีวัฒนธรรม แล้วศาสนาเข้าไปอาศัยสภาวะสิ่งแวดล้อมนั้นทำให้กลมกลืนกัน ทำให้ทำสะดวกสบายสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ภายนอก มันเป็นระเบียบเหมือนพวงมาลัย ดอกไม้อยู่ในป่าเขาอยู่กระจัดกระจายเอามาร้อยอยู่ในพวงมาลัยมันจะสวยงามมาก ประเพณีวัฒนธรรมคือสิ่งที่ร้อยรัดให้สังคมนั้นอยู่ได้สิ่งที่สังคมอยู่ได้นั้นเป็นพวงมาลัย สิ่งที่เป็นพวงมาลัยเป็นความสวยงามสิ่งที่เป็นความสวยงามเราก็เข้าใจตามนั้นเราไม่ขวางมันเราไม่ขัดข้องมัน แต่สิ่งนั้นเราต้องผ่านเข้าไป ผ่านเข้ามาถึงสิ่งที่ร้อยพวงมาลัยนั้นไว้

ย้อนเข้ามาความรู้สึกของเรา ย้อนกลับมาสังเกตความรู้สึกของเรา ถ้าความรู้สึกของเรา เราอยู่กับสิ่งนั้นเราก็ไม่ติดสิ่งนั้นเราจะต้องปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามาทั้งหมด ย้อนกลับเข้าไปที่ใจให้ได้ ถ้าย้อนกลับเข้าไปที่ใจได้เราจะเห็นพระธรรมวินัยของเรา ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมวินัย สื่อสมมุติสมมุติที่ว่าธรรมออกมาแต่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นผลของใจดวงนั้น 

แต่วางธรรมวินัยคือระเบียบ คือความเป็นสุตมยปัญญาเพื่อจะให้เราศึกษา แต่ศึกษาเพื่อย้อนกลับเข้าไปที่ความรู้สึก ไม่ใช่ศึกษามาเพื่อตีความออก เราศึกษาแล้วตีความกันเป็นปรัชญา ศึกษากันแล้วตีความกันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ แล้วก็วิตกวิจารณ์วิเคราะห์ไปข้างนอกหมดเลยทำไมไม่วิเคราะห์ย้อนกลับล่ะ 

ถ้าวิเคราะห์ย้อนกลับ วิเคราะห์อย่างไรก็ไม่ได้ต้องอาศัยคำบริกรรมไง พุทโธๆๆ สิ่งนี้มันจะย้อนกลับเข้ามาๆ จนเข้าไปถึงให้ใจย้อนกลับเข้าไปความรู้สึกของมันเอง ถ้าใจมันย้อนกลับความรู้สึกของมันเองมันจะปล่อยวาง สิ่งที่มันเกาะเกี่ยวคือความคิดความคิดความปรารถนาต่างๆเป็นความคิดของมัน มันจะเกาะเกี่ยวไปข้างนอก มันปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามาด้วยคำบริกรรม พุทโธๆ สั้นเข้ามาๆ แล้วความรู้สึกมันจะเข้าไปในความรู้สึก 

จิตตั้งมั่นเอกัคคตารมณ์สิ่งนี้โดยธรรมชาติในสมัยพุทธกาลมีอยู่แล้ว คนที่เกิดสมัยนั้น คนที่ปรารถนาเพื่อจะพ้นจากทุกข์เขาจะมีพื้นฐานของสมาธิ พอฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ธรรมๆตามไป เพราะใจของเขามีหลักมีเกณฑ์ของเรา แต่ใจของเราเราศึกษากัน เห็นไหมเราต้องรู้ทุกอย่าง ดูอย่างหมอสิหมอเฉพาะโรคหมอเฉพาะทางเขาก็เก่งเฉพาะทางๆ เขาเป็นหมอเหมือนกันมันยังแตกแขนงไปมากมาย เรื่องของโลกศึกษาไม่มีวันจบศึกษาไปเถอะศึกษาจนตายก็ไม่มีวันจบ ตายแล้วเกิดใหม่มาศึกษาต่อมันก็รอให้ศึกษาอยู่ไม่มีวันจบ 

สิ่งที่ไปศึกษาเขานี่ย้อนกลับมาตัวที่ไปรู้เขานี่จบสิ่งที่ไปรู้เขาทีนี้ถ้าจบเห็นไหมงานในการประพฤติปฏิบัติมันถึงจบได้ไงถ้าธรรมย้อนเข้ากลับมาได้มันจะจบสภาวะแบบนี้มันถึงว่าคำบริกรรมเข้ามาแล้วยกขึ้นมาให้ได้ พิจารณาไป สิ่งที่ไปเกาะเกี่ยวเขา สิ่งที่ควรศึกษามากในห้องวิทยาศาสตร์เห็นไหม ในร่างกายของเรานี่ ถ้ามันเห็นสภาวะความเป็นจริงนะ มันจะตื่นเต้น มันจะเห็นสภาวะความเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้มันแนบอยู่กับเราสิ่งที่เป็นสมบัติของเราคือตัวเราเอง สมบัติของเราตัวของเราเองอยู่กับเรา เรามองไม่เห็น 

เราไปเห็นแก้วแหวนเงินทอง เห็นตำแหน่งหน้าที่การงาน เห็นสิ่งต่างๆ เป็นผลประโยชน์เป็นที่พึ่ง อาศัยจะว่าไม่เป็นที่พึ่งเลยปัจจัย ๔พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธปัจจัย ๔คือสิ่งนี้เป็นอาชีพ มันต้องอาศัยปัจจัย ๔เกิดจากสิ่งนี้เราอาศัยไปแล้วเราไม่ยึดมั่นนะ วันไหนจะอยู่ก็ได้ วันไหนจะแปรปรวนก็ได้เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับมัน เราจะอยู่กับเรา เรามีร่างกายอยู่มีชีวิตอยู่ อันนี้มีประโยชน์มาก

ถ้าเราตายเมื่อไหร่สิจบ เห็นไหมหน้าที่การงานมันยังเปลี่ยนแปลงได้เวลาเราพ้นจากงานนั้นมาเราก็เปลี่ยนสถานะมา แต่เวลาตายไปแล้วสิ ถ้ามีบุญกุศลมันเปลี่ยนขึ้นไปบนเทวดามันก็เป็นสถานะใหม่นะ มันจะไม่เข้าใจ มันจะเพลินๆ ไปตามสภาวะแบบนั้นตกนรกก็ทุกข์สภาวะแบบนั้นจะไม่มีโอกาส 

มนุษย์นี่มันมีโอกาสไงเพราะมีร่างกายกับจิตใจ มีเวลาให้หายใจเวลาเราหายใจเราจะนึกคิดอะไรก็ได้ เรามีเวลาว่าง เราได้ค้นคว้าเราทุกข์ก็ได้ สุขก็ได้ เป็นสถานะกลาง สุขก็มีเวลาเราสุขเราพอใจของเราทุกข์เราก็มี นี่วิเคราะห์สิ่งนี้ถ้าเราวิเคราะห์สิ่งนี้แล้วเราเป็นผู้สลัดทิ้งสิ่งนี้แต่ถ้าเราไม่วิเคราะห์สิ่งนี้เราต้องโดนสิ่งนี้ลากไป บุญก็ลากไปสูง บาปก็ลากไปต่ำ สิ่งนี้จะลากเราไปข้างหน้าอนาคตลากไปแน่นอน ถ้าเราวิเคราะห์สิ่งนี้เราตัดสายใยเฉพาะเดี๋ยวนี้ถ้าตัดสายใยเดี๋ยวนี้จิตดวงนี้มันจะไปตามนั้นไหม มันจะไม่ไปตามสิ่งนั้นนั้นคือผลงานของเราไงสภาวธรรมสอนตรงนี้ ธรรมและวินัย 

สุดท้ายแล้วจะเป็นธรรมและวินัยของเรา ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วนะเขาว่าปาปมุตไม่ทำบาปเลยนะ มันไม่มีเจตนา การเป็นความผิดพลาดของโลกของร่างกายมันเป็นไปได้ พระจักขุบาลเวลาเดินจงกรมอยู่เป็นพระอรหันต์ก็ยังเหยียบสัตว์ตาย สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกมันเป็นผิดได้แต่มันไม่มีเจตนาไง สติวินัยไง ธรรมและวินัยของใจดวงนั้น ธรรมและวินัยของใจดวงนั้นคือสติวินัย สติพร้อมไปหมดเป็นอัตโนมัติไปหมด มันจะไม่มีความเคลื่อนไหวไปในเจตนาสิ่งที่ไม่ดี พอมันขยับออกมันจะรู้ทันๆ ไปตลอด 

แต่เรื่องของโลก ในธรรมบทบอกไว้เลย พระอรหันต์หลงในอะไร หลงในโลกไง หลงในสิ่งต่างๆ ของโลก หลงในบัญญัติไง สวดมนต์ผิดได้ ดูอย่างครูบาอาจารย์เราสิสวดมนต์ผิดอะไรผิดนี่ทำได้แต่ไม่หลงในอริยสัจ ไม่หลงในความเป็นจริงของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเข้าใจถึงความเป็นจริงของมันแล้วปล่อยใจดวงนั้นโดยสมบูรณ์ ปล่อยโดยสมบูรณ์แล้วจะไม่มีวันหลงเพราะสติมันอัตโนมัติตลอด มันจะเคลื่อนไหว สิ่งต่างๆ อริยสัจในหัวใจนี้คงที่ไง 

แต่หลงในทางถนนหนทาง พระอรหันต์เดินทางก็หลง ไปไหนก็หลง เพราะไม่เคยไป หลงได้หลงเรื่องของโลก หลงเรื่องของภายนอกแต่ไม่หลงใจตัวเอง ใจตัวเองเข้าใจหมด สิ้นกระบวนการนี้จบสิ้นหมดธรรมและวินัยของใจดวงนั้นธรรมและวินัยของโลกเราก็ดูไป 

ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรปิฎก เราเกิดมาพบและมีโอกาสเรามีวาสนา อันนี้วาสนามากถ้าเราศึกษานะ ถ้าเราไม่ศึกษาก็มีอยู่เก้อๆ เขินๆเขาก็อยู่ของเขาส่วนหนึ่ง เราก็อยู่ของเราส่วนหนึ่ง เราจะได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ ทั้งๆที่เทวดาเขาอวยพรกัน เห็นไหม เวลาตายไปแล้วขอให้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา เทวดาเขายังต้องการพบพุทธศาสนาพบยารักษาแล้วเราพบไหมเรามีโอกาสไหม เรามีวาสนาไหมแล้วเราปล่อยให้หลุดมือไปเตือนตัวเองไว้เอวัง